สถานการณ์ตลาดโดยรวม ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงตลอดทั้งสัปดาห์ ที่กรอบ 75-80 $/บาเรล เนื่องจากคาดว่าสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสน่าจะไม่ส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง ราคาน้ำมันดิบยังคงถูกกดดัน หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในงานเสวนาที่จัดโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมันดิบในระยะต่อไป
รายงานการส่งออกของจีนหดตัว 6.4% เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2022 (YOY) แต่ฝั่งการนำเข้าบวกเพิ่มขึ้นที่ 3.0% การส่งออกที่ลดลงของจีน แสดงให้เห็นว่า อุปทานในตลาดโลกยังไม่ฟื้นตัว ความต้องการสินค้าจากจีนยังคงลดลง ส่วนการนำเข้าสะท้อนว่าอุปสงค์ภายในประเทศจีนและภาพเศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2023 จะปรับตัวดีขึ้น เพราะจีนนำเข้าสินค้าบางส่วนเป็นวัตถุดิบ เพื่อใช้ผลิตเพื่ิอส่งออก จึงคาดว่าตัวเลขการส่งออกของจีนจะปรับตัวสูงขึ้นในระยะต่อไป
สำหรับตลาดราคาเม็ดพลาสติกในสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพรวมอุปสงค์ยังคงลดลง ในขณะที่อุปทานมีเพิ่มขึ้น การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อของหลายประเทศทั่วโลก สงครามการค้า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง กดดันให้ราคาเม็ดพลาสติกยังคงลดลงต่อเนื่อง
ส่วนในประเทศไทย ตลาดเม็ดพลาสติกค่อนข้างซบเซาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยอีก 0.25% เป็น 2.5% ในช่วงเดือนตค. 2566 ที่ผ่านมา ทำให้กำลังซื้อในประเทศยังคงหดตัว ขณะที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินบาทในช่วงต้นสัปดาห์ยังคงทรงตัวแถว 35.30-35.60 /$ แต่กลับอ่อนค่าลงในช่วงปลายสัปดาห์แถว 35.80-36.20 /$ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาในช่วงสัปดาห์หน้า ส่วนผู้ผลิตเม็ดพลาสติกในช่วงปลายเดือนตุลาคมปีนี้มีการปรับลดราคาขายในกลุ่ม PE ลงเพื่อระบายสต็อคที่ค่อนข้างสูง และในกลุ่ม PP PS ABS อาจจะมีการปรับลดลงเช่นกันตามราคาตลาดโลก สรุปภาพรวมตลาดเม็ดพลาสติกยังขาดปัจจัยบวกต่อความต้องการใช้เม็ดพลาสติกและกำลังซื้อสินค้าสำเร็จรูปยังคงลดลง